ประเทศมาเลเซียจัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2556
หลังนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2556
โดยมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกสภานิติบัญญัติรัฐ 12 จาก 13 รัฐ
ยกเว้น (รัฐซาราวัก) หลังธรรมเนียมปฏิบัติที่เริ่มตั้งแต่ปี 2547 ให้จัดการเลือกตั้งเหล่านี้พร้อมกัน
ได้รับเสียงข้างมาก แม้พรรคปากาตัน รักเกียตที่ตั้งโดยพรรคการเมืองฝ่ายค้านสามพรรค
จะได้รับเสียงจากประชาชนมากที่สุด ทั้งนี้ เพราะที่นั่งมิได้จัดสรรตามสัดส่วน
แต่ในระดับเขตเลือกตั้ง ตามระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด (first-past-the-post system) อย่างไรก็ดี
พรรคฝ่ายค้านมีที่นั่งในสภาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่พรรครัฐบาลเสียที่นั่งเล็กน้อย
เข้าเฝ้าฯสมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านแห่งมาเลเซีย เพื่อทำพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเฉพาะพระพักตร์
รับตำแหน่งผู้นำประเทศสมัยที่ 2 ท่ามกลางการคัดค้านของฝ่ายค้านที่เตรียมประท้วง
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 56
ว่า นายนาจิบ ราซัค เดินทางไปเข้าเฝ้าฯสมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านแห่งมาเลเซีย
เพื่อทำพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเฉพาะพระพักตร์ รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 อย่างเป็นทางการ
ขณะที่ฝ่ายค้านประกาศจะยื่นคำร้องและจัดชุมนุมต่อต้านผลการเลือกตั้ง
นาจิบ วัย 59 ปี เดินทางไปเข้าเฝ้าฯสมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านตวนกู อับดุล ฮาลิม มูอัซซอม ชาห์
ณ พระบรมมหาราชวัง ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อทำพิธีสาบานตนและถวายสัตย์ปฏิญาณ
ก่อนเข้ารับตำแหน่งผู้นำมาเลเซียต่ออีก 1 สมัย
หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งรับรองผลการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 5 พ.ค. ว่า พรรคร่วมรัฐบาล
“แนวร่วมแห่งชาติ” 13 พรรค ที่นำโดยพรรคองค์การสหมาเลย์แห่งชาติ ( อัมโน ) ของนาจิบ
ได้ที่นั่งในรัฐสภาไป 133 ที่นั่ง จากทั้งหมด 222 ที่นั่ง ซึ่งเกิน 2 ใน 3
ขณะที่พรรคแนวร่วม “ปากาตัน รัคยัต” หรือพรรคแนวร่วมฝ่ายค้าน 3 พรรค
นำโดยพรรคความยุติธรรมปวงชน ( พีเคอาร์ ) ของนายอันวาร์ อิบราฮิม ตามมาเป็นอันดับ 2 ได้ไป 89
ที่นั่ง ส่วนจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์อยู่ที่ 10 ล้านคน จากทั้งหมด 13 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 80
สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
ส่วนอันวาร์ ผู้นำฝ่ายค้าน วัย 65 ปี ยังคงยืนกรานไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งที่ออกมา
โดยนอกจากจะเตรียมยื่นหนังสือร้องเรียนแล้ว เขายังจะจัดการชุมนุมประท้วงต่อเนื่องเป็นเวลา 2 วัน
เพื่อคัดค้านผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่ขาดความชอบธรรมอย่างแท้จริง
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 6 พ.ค. ว่า ผลการนับคะแนนการเลือกตั้งทั่วไปของมาเลเซีย ซึ่งมีขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ (5 พ.ค.) ปรากฏว่า หลังปิดหีบลงคะแนนผ่านไปประมาณ 9 ชั่วโมง และนับบัตรได้กว่า 2 ใน 3 ของทั้งหมด พรรคร่วมรัฐบาลในนาม “แนวร่วมแห่งชาติ” นำโดยพรรคอัมโนของ นายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค คว้าชัยชนะได้สำเร็จ เมื่อได้ ส.ส. เข้าสู่รัฐสภาแล้วอย่างน้อย 127 ที่นั่ง ครองเสียงข้างมากจากทั้งหมดในรัฐสภา 222 ที่นั่ง สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้โดยเอกเทศ ขณะที่แนวร่วมฝ่ายค้าน 3 พรรค นำโดยนายอันวาร์ อิบราฮิม ได้ ส.ส. แล้ว 77 ที่นั่ง
นับเป็นชัยชนะการเลือกตั้งทั่วไป 13 ครั้งติดต่อกัน ของพรรคแนวร่วมแห่งชาติ ซึ่งผูกขาดครองอำนาจเป็นรัฐบาลมาตลอด ตั้งแต่มาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี พ.ศ. 2500 และเป็นชัยชนะที่ค่อนข้างผิดความคาดหมายก่อนหน้านี้ ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ชี้ว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่สุดจากฝ่ายค้าน
เจ้าหน้าที่คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งชาติมาเลเซีย เผยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีประชาชนที่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนราว 13 ล้านคน ตัวเลขผู้ที่ออกไปใช้สิทธิสูงถึง 80 % หรือกว่า 10 ล้านคน โดยการลงคะแนนมีขึ้นในหน่วยเลือกตั้งกว่า 8,000 หน่วยทั่วประเทศ ระหว่างเวลา 08.00 น. – 17.00 น.
อ้างอิงhttp://www.dailynews.co.th/world/202355
นับเป็นชัยชนะการเลือกตั้งทั่วไป 13 ครั้งติดต่อกัน ของพรรคแนวร่วมแห่งชาติ ซึ่งผูกขาดครองอำนาจเป็นรัฐบาลมาตลอด ตั้งแต่มาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี พ.ศ. 2500 และเป็นชัยชนะที่ค่อนข้างผิดความคาดหมายก่อนหน้านี้ ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ชี้ว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่สุดจากฝ่ายค้าน
เจ้าหน้าที่คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งชาติมาเลเซีย เผยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีประชาชนที่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนราว 13 ล้านคน ตัวเลขผู้ที่ออกไปใช้สิทธิสูงถึง 80 % หรือกว่า 10 ล้านคน โดยการลงคะแนนมีขึ้นในหน่วยเลือกตั้งกว่า 8,000 หน่วยทั่วประเทศ ระหว่างเวลา 08.00 น. – 17.00 น.
อ้างอิงhttp://www.dailynews.co.th/world/202355
by Ma'o.uasean.com